เมืองอุทัยธานีในมุมมองของตัวเอง คือ เมืองที่มีกลิ่นไอของอดีตลอยตลบอบอวล ทั้งๆที่อยู่ใกล้กรุงเทพแค่นิดเดียวแต่กลับรักษาเสน่ห์ของวิถีชีวิตริมแม่น้ำเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ตึกแถวไม้ สภากาแฟ ข้าวของเครื่องใช้แบบเก่าๆ และที่สำคัญ คือ มีคนหลายคนและมีบ้านหลายหลังที่บอกเล่าเรื่องราวให้คนต่างถิ่นเข้าไปสัมผัสและเรียนรู้วิถีเหล่านี้ได้ และนั่นก็คือที่มาของเรื่องราวเกี่ยวกับบ้าน 4 หลังกับเจ้าของ 4 คนที่เลือกมาเล่าให้ฟังกันวันนี้
บ้านจงรัก
ด้านล่างของบ้านไม้แห่งนี้เป็นร้านกาแฟและร้านขนมตกแต่งด้วยโมเดลตุ๊กตุ่นตุ๊กตาตั้งแต่สมัยเก่าจนถึงปัจจุบันบ้างเก็บอยู่ในตู้ไม้ปิดด้วยกระจกที่ต่อชั้นเรียงสูงจรดเพดานบ้างวางบนตู้ไม้ตู้เล็กตู้น้อยเต็มบริเวณแต่งเติมบรรยากาศแบบย้อนยุคด้วยโต๊ะปูหินอ่อนทรงกลมขาทำด้วยไม้กับเก้าอี้ไม้ทรงกลม
แต่สิ่งที่ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้พิเศษกว่าที่อื่น คือ พิพิธภัณฑ์ที่อยู่บนชั้น 2 ของบ้านที่มีชื่อว่า พิพิธภัณฑ์บ้านคุณตาหลวงเพชรสงคราม ยกกระบัตรเมืองอุทัยธานี ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นตาทวดของลุงตุ้มเจ้าของบ้าน พิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้เข้าฟรีโดยมีไกด์ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คุณลุงตุ้มนี่ล่ะที่จะเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างถึงรสถึงชาติจนเวลาผ่านชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง จะเห็นมุมทำงานที่ดูน่าเกรงขาม เป็นโต๊ะไม้ขนาดใหญ๋ ลูกโลก โป๊ะไฟโบราณที่ดึงขึ้นดึงลงได้ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คสมัยที่ยังใช้แผ่นดิสก์เก็ต และภาพถ่ายเยอะแยะ สิ่งที่ตัวเองชอบมากที่สุด คือ หนังสือ Friendship ของภรรยาลุงตุ้มที่เด็กๆสมัยนี้แทบจะไม่รู้จักกันแล้ว
ถัดไปอีกห้องเป็นห้องนอนที่เก็บเอาเตียงแต่งงานของคุณพ่อคุณแม่และโต๊ะเครื่องแป้งบานหูช้างของคุณยายเอาไว้
พอเดินลึกต่อไปก็จะมาถึงบ้านไม้หลังเก่าอายุร้อยปี มีครัวแบบสมัยก่อน โต๊ะกระดานชนวน และพื้นที่ตรงกลางที่มาพร้อมเรื่องราวว่าคุณลุงเคยนอนกับพี่ๆน้องๆเรียงเป็นตับในมุ้งตรงนี้ และที่พิเศษ คือ ช่องหนีโจร ที่คุณลุงตุ้มเล่าว่าสมัยก่อนชุมนัก แต่เพราะโจรนี่ล่ะที่ทำให้คุณลุงได้เจอกับภรรยา
เอาเป็นว่าถ้าใครอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ขอให้มาฟังคุณลุงตุ้มเล่าเสียแล้วกัน
เวลาเปิด : วันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 07.30 น. – 17.00 น.
ร้านป้าทองกาแฟโบราณ
ร้านกาแฟโบราณแห่งนี้เป็นศูนย์รวมสมาชิกสภากาแฟแห่งเมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่ปี 14 ถึงตอนนี้ก็ 46 ปีแล้ว ภาพที่คุ้นตาของคนที่นี่แต่พิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว คือ ภาพป้าทองวัย 70 นิดๆกำลังชงกาแฟ พูดคุยหัวเราะโฉงเฉงกับลูกค้าวัยเดียวกันอย่างคุ้นเคย ตัวเองไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งลงแล้วสั่งโอวัลติน 1 แก้วกับไข่ลวก 1 ฟอง โดยที่นี่มีบริการน้ำชาให้ฟรี
“คนนี้นะ ถ้าเป็นคนต่างถิ่นแกมาบริการถึงที่ ถ้าเป็นคนคุ้นเคยนี่ตะโกนให้มาเอา ใช้ให้เก็บเงิน เก็บถ้วนบ้างล่ะ” คุณลุงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างกันหันมากึ่งเล่าให้ฟังกึ่งแซวป้าทอง
“พวกลุงมาทุกวันนั่นล่ะ ไม่มาแล้วคิดถึงกัน ตอนนี้สายๆก็กลับแต่สมัยก่อนนั่งยันเที่ยงคืนนู่น เพราะมีขายเหล้าด้วย แล้วอีกอย่าง…”
“แม่ค้าก็สวย” คุณลุงที่นั่งอยู่หน้าร้านตะโกนแทรกพร้อมเสียงหัวเราะดังครืน
ระหว่างที่กินไข่ลวกไป จิบชาไปก็ฟังเหล่าสภากาแฟเขาคุยกัน ตั้งแต่แซวกันเรื่องความอาวุโสของทีม เรื่องราวเก่าๆแถวนี้ ไปจนถึงเสียงมงเสียมวยกันด้วย
“ไป เสียมวยก็ไปเก็บผักบุ้งใช้หนี้” เสียงพุดดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะที่ตามมา
บรรยากาศแบบนี้หายากเหลือเกิน ตัวเองไม่เคยเจอ มันเป็นความอบอุ่นผสมความแปลก เหมือนเราได้นั่งอยู่ในโลกในอดีตอย่างนั้น ใครอยากลองนั่งทามแมชชีนย้อนอดีตก็มานั่งที่ร้านป้าทองได้เลยนะคะ
เวลาเปิด: ทุกวันตั้งแต่ 05.00-18.00 น.
Booktopia
บุ๊คโทเปียเป็นร้านหนังสือร้านเล็กๆตั้งอยู่ในเมืองอุทัยธานี เมื่อก้าวขาเข้าไปความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ คือ ที่นี่คือโลกแห่งหนังสือชัดๆ ทุกกระเบียดนิ้วเต็มไปด้วยตั้งหนังสือที่วางซ้อนกันเต็มพื้นที่ซึ่งตรงกับความตั้งใจของพี่อ้วน วิรัตน์ โตอารีย์ เจ้าของร้านที่เป็นนักเขียนกับนามปากกาญามิลา พี่อ้วนไปโตและทำงานที่กรุงเทพแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมาบ้านเกิดและมาก่อร่างสร้างชีวิตที่นี่
“ตอนพี่อยู่กรุงเทพ เรามองไม่เห็นตัวเองว่าจะอยู่ต่อไปได้ยังไง เราไม่เห็นตัวเองแก่ที่กรุงเทพ ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน นี่ก็ 15 ปีแล้วที่กลับมา ก็ดีนะ มันเป็นการได้กลับบ้าน” พี่อ้วนเล่าให้ฟัง
หลังจากนั้นพี่อ้วนก็เล่าถึงการปรับตัวบ้าง เล่าถึงวิถีของที่นี่บ้าง ไหนจะความแปลกของการจอดรถเคารพธงชาติ คนขี่มอเตอร์ไซค์เป็นแถวคุยกัน หรือจะเป็นเรื่องของคนที่นี่ที่ดูนิ่งเฉยๆ ออกจะปิดเสียหน่อย แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไร เป็นคนตรงๆและเรียบง่าย
“เมืองนี้เหมือนเป็นเมืองปิด คนนอกก็เข้ามายังไม่เยอะ มันก็เลยยังมีความเป็นอุทั้ยอุทัยอยู่มาก” พี่อ้วนปิดท้าย
ใครผ่านมาทางนี้อย่าลืมแวะมาดูมาเลือกซื้อหนังสือ หรือจะมานั่งขวนเจ้าของร้านคุยก็ได้ 🙂
เวลาเปิด : ทุกวันตั้งแต่เวลา 10.30-19.30น.
รักษ์อุทัยและบ้านนกเขาที่ตรอกโรงยา
บ้านทั้ง 2 หลังนี้คือบ้านที่เก็บสะสมประวัติศาสตร์ไว้มากมาย เหมือนกับเจ้าของบ้านทั้ง 2 คนของบ้านทั้ง 2 หลังที่เก็บเรื่องราวและเรื่องเล่าในอดีตของเมืองอุทัยธานีไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้
รักษ์อุทัยและบ้านนกเขาตั้งอยู่บนตรอกโรงยาซึ่งแต่เดิมเป็นตรอกสูบยาฝิ่น แต่ปัจจุบันนี้ทุกวันเสาร์จะมีถนนคนเดินตรอกโรงยาที่คลาคล่ำด้วยผู้คน ทั้งคนที่นี่และคนต่างถิ่น ตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ระหว่างที่เดินเล่นรอหมูสะเต๊ะร้อยคิวที่แสนโด่งดังของที่นี่ และพยายามเดินย่อยของกินที่พ่อค้าแม่ขายของที่นี่จัดกันมาเต็ม เราก็มาสะดุดตากับตะกร้าเครื่องจักรสานใบใหญ่สีสวย หน้าตาแปลกจนต้องแวะเข้าไปดู และร้านที่แวะเข้าไป คือ ร้านรักษ์อุทัย
เจ้าของร้านเล่าเรื่องอย่างสนุกสนาน เสียงมีพลังของความรักและความภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยม จะเรื่องเครื่องถ้วยชามจากจีนที่หาไม่มีอีกแล้ว อุปกรณ์พ่นน้ำรีดผ้าแบบโบราณรุ่นปากคีบ เครื่องดนตรี และตะกร้าที่ตั้งใจเข้ามาดูครั้งแรกที่คุณลุงบอกว่า
“นี่เอาไว้ใส่อาหารแต่งงาน มี 3 ชั้นเห็นไหม ของที่เก็บๆมาเก็บมานานนมแล้ว ยังมีอีกเยอะเลยเนี่ย” คุณลุงพูดยิ้มแย้ม
“ลูกก็มาช่วยกัน ปิดร้านกาแฟมาดูร้านพ่ออาทิตย์ละวัน ร้านนี้เปิดแล้วไม่ได้กำไรนะ ขาดทุนทุกเดือน แต่คนที่ได้คือคนที่นี่เพราะพอมีถนนคนเดินก็มีรายได้ขึ้นมา เราก็มาช่วยๆกันสร้างขึ้นมา ถ้าคนที่นี่ได้ มันก็คือกำไรแล้ว แถมยังมีกำไรจากการที่เขาได้รู้เรื่องตัวเองและคนที่อื่นที่ได้รู้เรื่องพวกเรา“
หลังเดินออกมาจากร้านผ่านร้านพี่นกเขา เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปเพราะนักท่องเที่ยวรอถ่ายรูปเยอะเสียเหลือเกิน
แต่ไม่เป็นไร ไว้เจอกันไหมนะอุทัยธานี
เวลาเปิด : รักษ์อุทัยเปิดเฉพาะวันเสาร์ 16.00-20.00 ที่มีถนนคนเดินตรอกโรงยา บ้านนกเขาเปิดตลอดนะคะ อาจจะปิดถ้าพี่เขาไม่อยู่
แนะนำอาหาร
คนอุทัยเชื่อว่า ‘อาหารต้องอร่อยและถูก’ ถ้าไม่ได้ทั้งคู่ร้านก็อยู่ไม่ได้ซึ่งช่วงเวลา 4 วันที่อยู่ที่นี่ก็เห็นว่าคำพูดนี้เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นจะไม่แนะนำเพราะอร่อยทุกร้าน เรียกว่าล้มไปตรงไหนก็อร่อย ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวไก่ท้าพิสูจน์ เจ๊ดาปลาลวก บะหมี่ฮ่องเต้ นกน้อย หมูสะเต๊ะ 100 คิว หมูปิ้งไม้ละบาท โจ๊ก 10 บาท
*ตอนเช้าและตอนเย็นจะมีตลาดตรงริมน้ำ
การเดินทาง
รถตู้/รถประจำทางจากกรุงเทพ 3 ชั่วโมง
รถไฟฟรี–นครสวรรค์ และต่อรถเมลประจำทาง 1 ชั่วโมงจากมาที่อุทัยธานี
*******